Jaguar Land Rover ปูทางสู่วิวัฒนาการของระบบไฟฟ้าแห่งอนาคต
เตรียมอัดงบ 1.5 หมื่นล้านปอนด์ ในอีก 5 ปีข้างหน้า
Jaguar Land Rover ได้ประกาศแผนการที่น่าตื่นเต้นเพื่อเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่หรูหราและล้ำสมัยชั้นนำของโลก โดยจะเปลี่ยนโรงงานในเฮลวู้ด สหราชอาณาจักร ให้กลายเป็นโรงงานผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เพื่อเป็นสื่อกลางแห่งอนาคตของสถาปัตยกรรมรถยนต์ SUV และสถาปัตยกรรมโมดูลาร์ไฟฟ้าแบบ EMA ที่จะทำงานด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมด
ในการเปิดเผยข้อมูลกับสื่อระดับโลกที่ศูนย์บัญชาการของ Jaguar Land Rover ในเกย์ดอน นายเอเดรียน มาร์เดลล์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท ยืนยันถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการใช้กลยุทธ์ Reimagine ซึ่งจะทำให้บริษัทเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่หรูหราและล้ำสมัยรายแรกที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วนภายในปี 2573 ขณะที่ Jaguar Land Rover ได้ก้าวไปสู่เป้าหมายทางการเงิน เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ในการสร้างสถานะเงินสดสุทธิให้เป็นบวกภายในปีงบประมาณ 2560 และสร้างมูลค่าของ EBIT ให้เป็นเลขสองหลักได้ภายในปี 2569
นายเอเดรียน มาร์เดลล์ ซีอีโอของ Jaguar Land Rover กล่าวว่า “เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เราได้เปิดตัวกลยุทธ์ Reimagine และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เราก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก รวมถึงการเปิดตัวรถยนต์ Range Rover และ Range Rover Sport รุ่นใหม่ที่หรูหราและล้ำสมัย 2 รุ่น ซึ่งรวมอยู่ในตระกูล Defender ซึ่งได้รับความต้องการสูงเป็นประวัติการณ์ เราบรรลุสิ่งนี้ในขณะที่กำลังเผชิญกับกระแสของการแพร่ระบาดและการขาดแคลนชิป และเรายังคงประสบความสำเร็จในการเพิ่มการผลิตรุ่นที่ทำกำไรได้มากที่สุดของเรา เพื่อสร้างผลกำไรในไตรมาสที่ 3”
“วันนี้ ผมภูมิใจที่จะประกาศว่า เรากำลังเร่งสร้างแนวทางการผลิตพลังงานไฟฟ้า ทำให้หนึ่งในโรงงานในสหราชอาณาจักรของเราและสถาปัตยกรรมรถยนต์ SUV หรูขนาดกลางรุ่นต่อไปของเรามีการใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การลงทุนครั้งนี้ช่วยให้เราสามารถพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต ที่มาพร้อมความหรูหราและล้ำสมัย พร้อมทั้งพัฒนาทักษะใหม่ๆ และยืนยันความมุ่งมั่นของเราที่จะทำให้ปริมาณการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ภายในปี 2582”
การลงทุนในรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นต่อไป
Jaguar Land Rover มีการประกาศโรดแมปในการขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้ารุ่นต่อไป โดยยืนยันว่าจะเริ่มเชิญลูกค้ามาสั่งจองรถยนต์ Range Rover ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า หรูหรา และล้ำสมัยภายในช่วงปลายปีนี้ รถยนต์ SUV ขนาดกลางรุ่นใหม่รุ่นแรกนี้จะเป็นรุ่นที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมดที่มาจากตระกูล Range Rover ซึ่งจะเปิดตัวในปี 2568 และได้รับการพัฒนาขึ้นในเมืองเฮลวู้ดในย่านเมอร์ซีย์ไซด์ ถือเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นของ Jaguar Land Rover ที่มีต่ออนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในสหราชอาณาจักร
ในขณะที่สถาปัตยกรรมโมดูลาร์ไฟฟ้าแบบ EMA จะทำงานด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เนื่องจากแนวโน้มของการใช้พลังงานไฟฟ้าในบางตลาดเพิ่มขึ้น Jaguar Land Rover จะยังคงใช้สถาปัตยกรรมโมดูลาร์ไฟฟ้าแบบ MLA ที่ยืดหยุ่น ซึ่งรถยนต์ Range Rover และ Range Rover Sport จะได้รับการพัฒนาด้วยเครื่องยนต์แบบ ICE ไฮบริด และตัวเลือกรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่แบบ BEV สิ่งนี้ทำให้ Jaguar Land Rover มีความยืดหยุ่นอย่างไร้เงื่อนไขในการปรับสายการผลิตภัณฑ์ยานยนต์ให้ตรงกับความต้องการของตลาดทั่วโลก ซึ่งมีความคล่องตัวที่แตกต่างกัน ไปสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
ศูนย์รวมแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่
ในขั้นตอนต่อไปของกลยุทธ์ Reimagine มีการเปิดเผยว่า Jaguar Land Rover จะเปลี่ยนไปใช้แนวทาง House of Brands เพื่อขยายลักษณะเฉพาะของแต่ละแบรนด์ ทั้ง Range Rover, Defender, Discovery และ Jaguar พร้อมเร่งการเผยวิสัยทัศน์ของบริษัท เพื่อเป็นผู้สร้างความภาคภูมิใจของแบรนด์ยานยนต์ที่หรูหราและล้ำสมัย และเป็นที่ต้องการมากที่สุดในโลกสำหรับลูกค้าที่ฉลาดเลือก
ศาสตราจารย์เจอรี่ แม็คโกเวิร์น โอบีอี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายสร้างสรรค์ของ Jaguar Land Rover แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางของศูนย์รวมแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่หรือ House of Brands ว่า “หัวใจสำคัญของกลยุทธ์ Reimagine ของเราคือการก่อตั้งศูนย์รวมแบรนด์ที่ยิ่งใหญ่หรือ House of Brands ซึ่งเป็นวิวัฒนาการตามธรรมชาติ โดยมีจุดประสงค์เพื่อยกระดับและขยายความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์สัญชาติอังกฤษที่มีลักษณะเฉพาะของเรา ความทะเยอทะยานสูงสุดของเราคือ การสร้างประสบการณ์ที่มีส่วนร่วมทางอารมณ์สำหรับลูกค้าของเราอย่างแท้จริง เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความทัดเทียมขั้นสูงให้กับแบรนด์ และต่อยอดความยั่งยืนในระยะยาวให้กับ Jaguar Land Rover”
Jaguar Land Rover ยังประกาศเพิ่มเติมว่า รถยนต์ Jaguar สุดหรูสไตล์โมเดิร์นคันแรกจากทั้งหมด 3 คัน ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ จะเป็นรถ GT 4 ประตูที่ได้รับการพัฒนาขึ้นในเมืองโซลิฮัลล์ในย่านเวสต์มิดแลนด์ สหราชอาณาจักร ด้วยพละกำลังที่มากกว่า Jaguar รุ่นก่อนๆ โดยวิ่งได้ไกลถึง 700 กม. (430 ไมล์) และมีราคาโดยประมาณอยู่ที่ 100,000 ปอนด์ Jaguar โฉมใหม่จะถูกสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ในแบบเฉพาะตัวในชื่อ JEA รายละเอียดเพิ่มเติมของรถยนต์ GT Jaguar 4 ประตูโฉมใหม่จะเปิดตัวภายในปลายปีนี้ ก่อนจะออกจำหน่ายในตลาดที่ได้รับการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายในปี 2567 และส่งมอบถึงมือลูกค้าได้ภายในปี 2568
“เราได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ของ Jaguar ให้เป็นแบรนด์รถยนต์ที่หรูหราและล้ำสมัยอย่างแท้จริง กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนแปลงของ Jaguar คือการออกแบบที่สื่อให้เห็นถึงตัวตนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไร้การลอกเลียนแบบสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น” ศาสตราจารย์เจอรี่ แม็คโกเวิร์น โอบีอี กล่าว
นายเอเดรียน มาร์เดลล์ ซีอีโอของ Jaguar Land Rover ยังกล่าวต่อว่า “Range Rover ซึ่งเป็นรถยนต์ SUV สุดหรูแบบดั้งเดิมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าทั้งคัน กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการสั่งจองล่วงหน้าภายในปีนี้ และรถยนต์ Jaguar รุ่นแรกในสามรุ่นซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าที่น่าทึ่งจะได้รับการเปิดตัวในปี 2568 เรากำลังก้าวไปสู่ยุคที่พลังงานไฟฟ้ามีความน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นสำหรับ JLR ในฐานะผู้นำธุรกิจยานยนต์ ที่ความหรูหรามาพร้อมความล้ำสมัย”
การลงทุนในภาคอุตสาหกรรมของ Jaguar Land Rover ในสหราชอาณาจักร
นอกจากข่าวที่ว่า โรงงานในเมืองเฮลวู้ดในย่านเมอร์ซีย์ไซด์ สหราชอาณาจักร กำลังจะกลายเป็นโรงงานผลิตที่ใช้พลังไฟฟ้าทั้งหมด พร้อมการพัฒนาสถาปัตยกรรมรถยนต์ SUV ขนาดกลางรุ่นต่อไป สถาปัตยกรรมไฟฟ้าแบบ EMA ก็จะได้รับการพัฒนาให้ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าล้วนเช่นกัน Jaguar Land Rover ยังเปิดเผยว่า “ศูนย์การผลิตเครื่องยนต์” (Engine Manufacturing Centre) ในเมืองวูล์ฟแฮมป์ตัน สหราชอาณาจักร ซึ่งปัจจุบันผลิตเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบ Ingenium สำหรับยานยนต์ของบริษัท จะมีการผลิตชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าและชุดแบตเตอรี่สำหรับยานยนต์รุ่นต่อไปของ Jaguar Land Rover ในอนาคต โดยจะเปลี่ยนชื่อเป็น “ศูนย์การผลิตการขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า” (Electric Propulsion Manufacturing Centre) เพื่อแสดงถึงการพัฒนาที่เหนือชั้นดังกล่าว
มีข่าวดีสำหรับอนาคตของผู้คนในย่านปราสาทบรอมวิชอันเก่าแก่ เมื่อ Jaguar Land Rover ยืนยันว่าสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ในการเตรียมงานตัวถังโลหะสำหรับยานยนต์ของ Jaguar Land Rover จะได้รับการขยับขยายให้มีบทบาทสำคัญในด้านระบบไฟฟ้าแห่งอนาคตของบริษัทมากขึ้น โดยจัดให้มีงานตัวถังสำหรับยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ในอนาคต และ JLR ยังคงมุ่งมั่นหาโอกาสในการพัฒนาย่านปราสาทบรอมวิชต่อไป